เมนู

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [5. พราหมณวรรค] 3. อัสสลายนสูตร

เพื่อเป็นบรรณาการก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อบูชายัญก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อต้อนรับแขกก็ดี
ข้าแต่ท่านพระโคดม ของที่ให้ในบุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม จักมีผลมากได้อย่างไรเล่า”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “อัสสลายนะ เมื่อก่อนท่านได้อ้างกำเนิด อ้างกำเนิด
แล้วก็อ้างเรื่องมนต์ อ้างเรื่องมนต์แล้วก็อ้างเรื่องตบะ อ้างเรื่องตบะแล้วก็มาพูด
เรื่อง ความบริสุทธิ์ที่ทั่วไปแก่วรรณะ 4 จำพวก ซึ่งเราบัญญัติไว้”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อัสสลายนมาณพก็นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก
ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ

วรรณะ 4 จำพวกในอดีต

[410] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่าอัสสลายนมาณพนั่งนิ่ง เก้อเขิน
คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ จึงได้ตรัสกับอัสสลายนมาณพว่า
“อัสสลายนะ เรื่องเคยมีมาแล้ว พราหมณ์ฤาษี 7 ตน มาประชุมกันที่กระท่อม
มุงบังด้วยใบไม้ในราวป่า เกิดมีทิฏฐิชั่วเห็นปานนี้ว่า ‘วรรณะที่ประเสริฐที่สุดคือพราหมณ์
เท่านั้น วรรณะอื่นเลว ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม’
อสิตเทวลฤาษีได้สดับว่า ‘ได้ทราบว่า พราหมณ์ฤาษี 7 ตนมาประชุมกันที่
กระท่อมมุงบังด้วยใบไม้ในราวป่า เกิดมีทิฏฐิชั่วเห็นปานนี้ว่า ‘วรรณะที่ประเสริฐ
ที่สุดคือพราหมณ์เท่านั้น ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม’
ลำดับนั้น อสิตเทวลฤาษีโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้าสีแดงอ่อน สวมรองเท้า
2 ชั้น ถือไม้เท้าเลี่ยมทองไปปรากฏในบริเวณศาลาของพราหมณ์ฤาษี 7 ตน
ครั้งนั้นแล อสิตเทวลฤาษีเมื่อเดินไปมาอยู่ในบริเวณศาลาของพราหมณ์ฤาษีทั้ง 7 ตน
ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ‘เออ ท่านพราหมณ์ฤาษีเหล่านี้ไปไหนกันหมด เออ ท่านพราหมณ์
ฤาษีเหล่านี้ไปไหนกันหมด’
ลำดับนั้น พราหมณ์ฤาษี 7 ตน ได้คิดว่า ‘ใครหนอนี่ เดินไปมาเหมือนเด็ก
ชาวบ้าน ในบริเวณศาลาของพราหมณ์ฤาษี 7 ตน กล่าวอย่างนี้ว่า ‘เออ ท่าน
พราหมณ์ฤาษีเหล่านี้ไปไหนกันหมด เออ ท่านพราหมณ์ฤาษีเหล่านี้ไปไหนกันหมด’
เอาละ เราทั้งหลายจักสาปแช่งมัน’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 13 หน้า :512 }


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [5. พราหมณวรรค] 3. อัสสลายนสูตร

ลำดับนั้น พราหมณ์ฤาษี 7 ตน ก็พากันสาปแช่งอสิตเทวลฤาษีว่า ‘เป็นเถ้า
เถิดคนถ่อย เป็นเถ้าเถิดคนถ่อย’ พราหมณ์ฤาษี 7 ตน พากันสาปแช่งอสิตเทวล-
ฤาษี ด้วยประการใด ๆ อสิตเทวลฤาษีกลับเป็นผู้มีรูปงามกว่า เป็นผู้น่าดูกว่า
และเป็นผู้น่าเลื่อมใสกว่า ด้วยประการนั้น ๆ
ครั้งนั้นแล พราหมณ์ฤาษี 7 ตน ได้คิดว่า ‘ตบะของเราทั้งหลายเปล่าประโยชน์
พรหมจรรย์ของเราไม่มีผล ด้วยว่าเมื่อก่อนเราทั้งหลายสาปแช่งผู้ใดว่า ‘เป็นเถ้าเถิด
คนถ่อย เป็นเถ้าเถิดคนถ่อย’ ผู้นั้นบางคนก็เป็นเถ้าเป็นจุณ แต่ผู้นี้เราทั้งหลายยิ่ง
สาปแช่ง ด้วยประการใด ๆ เขากลับเป็นผู้มีรูปงามยิ่งขึ้น เป็นผู้น่าดูยิ่งขึ้น และเป็น
ผู้น่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น ด้วยประการนั้น ๆ’
อสิตเทวลฤาษีกล่าวว่า ‘ตบะของท่านผู้เจริญทั้งหลาย เปล่าประโยชน์ก็หามิได้
พรหมจรรย์ของท่านผู้เจริญทั้งหลายไม่มีผลก็หามิได้ เชิญท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงละ
ความคิดประทุษร้ายในเราเสียเถิด’
พราหมณ์ฤาษี กล่าวว่า ‘พวกเรายอมสละความคิดประทุษร้าย ท่านเป็น
ใครหนอ’
อสิตเทวลฤาษี กล่าวว่า ‘ท่านผู้เจริญทั้งหลายได้ยินชื่ออสิตเทวลฤาษีมา
บ้างไหม’
พราหมณ์ฤาษี กล่าวว่า ‘ท่านผู้เจริญ เราทั้งหลายเคยได้ยินอยู่’
อสิตเทวลฤาษี กล่าวว่า ‘ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เรานี้แลคืออสิตเทวลฤาษี
ตนนั้น’
อัสสลายนะ ลำดับนั้นแล พราหมณ์ฤาษี 7 ตน พากันเข้าไปหาอสิตเทวลฤาษี
เพื่อจะไหว้
[411] อัสสลายนะ ครั้งนั้น อสิตเทวลฤาษีได้กล่าวกับพราหมณ์ฤาษี
ทั้ง 7 ตนว่า ‘ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้สดับข่าวนี้มาว่า ‘ได้ทราบว่า
พราหมณ์ฤาษี 7 ตนมาประชุมกันในกระท่อมมุงบังด้วยใบไม้ในราวป่า แล้วเกิดมีทิฏฐิ
ชั่วเห็นปานนี้ว่า ‘วรรณะที่ประเสริฐที่สุดคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณอื่นเลว วรรณะ
ที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์ ผู้ที่มิใช่พราหมณ์
ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดจากโอษฐ์ของพรหม เกิดจาก
พรหม พรหมเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นทายาทของพรหม จริงหรือ’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 13 หน้า :513 }